ผู้นำในภาคอุตสาหกรรมโลหะมีค่า ที่ได้พกกับจุดเริ่มต้นที่แย่ที่สุดในช่วงทศวรรษมากกว่าผ่านมา ก็สามารถรับมือและหายกังวลไปได้ เนื่องจาก การแข็งค่าของเงินหยวนและเงินเยน เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ทางด้านสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าอยู่แล้วนั้น ก็ได้กลายเป็นตัวการหลักที่ทำให้คู่ออนซ์ทองคำและดอลลาร์สหรัฐ (XAU / USD) ลดระดับลงไปถึง 7% ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ อ้างอิงจากการรายงานของทางสภาทองคำระดับโลก มองว่า ความต้องการในระดับโลกได้ลดลงมาเป็น 1959 ตัน ในเดือนมกราคม จนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2017 ที่พบว่ามีปริมาณประมาณ 2086 ตัน และในขณะเดียวกัน ความสนใจในเครื่องประดับและการใช้โลหะของอุตสาหกรรม ก็มีเสถียรภาพดีขึ้น ส่วนการไหลเวียนของเงินทุนจาก ETF ก็ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในลดระดับราคาลง
อ้างอิงข้อมูลการวิจัยของ WGC ที่พบว่า ทุนสำรองเงินตราแลกเปลี่ยนแบบพิเศษ ได้เพิ่มขึ้นมาถึง 60.9 ตันในช่วงครั้งแรกของปี 2017 สำหรับช่วงเดือนมกราคม จนถึงเดือนมิถุนายน ปี2017 พบว่า กระบวนการดังกล่าวได้เกิดขึ้นเร็วมากกว่าเดิม (+160.9 ตัน) เหมือนกับเหยื่อที่ถูกฝังลงไปในช่วงการดำเนินการของนักลงทุนชาวอเมริกัน หากมาเทียบกับ การกระจายตัวของยอด GDP ในสหรัฐอเมริกา ได้อยู่ที่ 4.1% เมื่อเทียบเป็นรอบไตรมาส โดยพวกเขาต้องการซื้อหลักทรัพย์ มากกว่าที่จะรอการสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นมาในโลหะมีมูลค่า เรื่องราวของการร่วงลงมา ของดัชนีหุ้นปรเ้ทศจีน ได้ภายใต้อิทธิพลของ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศจีน และสงครามการค้า ที่ไม่ได้มีส่วนช่วยในทางใดทางหนึ่ง ถ้าหากในตอนต้นของปี 2016 ทองคำได้มีการตอบสนองต่อการปรับตัวลงใน ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ และจากนั้นสินทรัพย์ในปีนี้ก็น่าจะไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วย
การเคลื่อนไหวของทองคำ และดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้

ถ้าพวกเราดูไปที่ การเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนออกของเงินทุน จากกองทุน ETF แล้ว พวกเราก็สามารถมองได้ว่าคู่ออนซ์ทองคำและดอลลาร์สหรัฐ (XAU / USD) จะมีมุ่งหน้าลงมา ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นไปตามประมาณการของทางสถาบัน Commerzbank หลังจากนั้นแล้ว การขาดทุนของหุ้นในกองทุนแลกเปลี่ยนซื้อขายแบบเฉพาะ ใน 29 ตัน ของเดือนกรกฎาคม จากช่วงเริ่มต้นของเดือนสิงหาคม ที่ได้ลดระดับลงไปอีกถึง 16 ตัน ทางด้านธนาคารคาดว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ภายใต้อิทธิพลของการรัดกุมนโยบายทางการเงินแบบเข้มงวด ของเฟดจะพบว่า ทองคำจะไปทดสอบกับตำแหน่งที่สำคัญทางจิตวิทยาที่ระดับ 1200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนผู้สนับสนุนและนักเก็งกำไร ที่ในวันที่ 31 เดือนกรกฎาคม ได้มีตำแหน่งโดยสุทธิในปี 2016 ของสินทรัพย์ที่ได้รับการวิเคราะห์ในตลาดฟิวเจอร์สทั้ง 27 แห่งเป็น 156 สัญญา ที่เท่ากับ 2.7 ล้านออนซ์
ทางด้านสถาบัน Standard Bank เชื่อกันว่า ยุครุ่งเรืองสำหรับโลหะมีค่ายังคงอยู่ในอดีตตามเดิม ส่วนปัจจัยในการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจากนโยบายส่วนกลางทั้งสี่ครั้ง ในปี 2018 ก็จะมีการพิจารณากันต่อไปในส่วนของอัตราของดัชนีเงินดอลลาร์ (ตลาดฟิวเจอร์สให้ผลความน่าจะเป็นมาประมาณ 70%) ทางด้าน นักลงทุนอาจไม่ค่อยประหลาดใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่การปรับนโยบายทางการเงินกลับสู่สภาพเดิมของเฟด หรือการร่วงลงของ GDP ของสหรัฐอเมริกาโดยคู่สกุลเงินนี้ ก็อาจจะทำให้การเพิ่มขึ้นของมูลค่าในคู่ออนซ์ทองคำและดอลลาร์สหรัฐ (XAU / USD) เป็น 1,260 เหรียญต่อออนซ์ ในไตรมาสที่สาม ก่อนจะถึงช่วงสิ้นปีนี้ ทองคำอาจจะไปทดสอบกับระดับของ $ 1300 ไปได้
ความหลากหลายทางความเห็นได้ช่วยให้ "แนวโน้มขาขึ้น" ของโลหะมีค่า ได้ยกตัวขึ้นมาบ้าง และก็มุ่งหน้าไปยังระดับของการรวมกำลังในระยะที่ $ 1205-1235 ต่อออนซ์ ส่วนนักลงทุนจะติดตาม การนำเสนอข้อมูลอย่างใกล้ชิด เกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา ในเดือนกรกฎาคม สำหรับการปรับตัวมากเกิดไปใน CPU ถึง 3% และขึ้นไปมากกว่านั้น จะไปช่วยเพิ่มโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของทั้ง 4 ครั้ง และจะส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินดอลลาร์อีกด้วย
ในทางเทคนิคจะพบได้ว่า ทองคำเข้าสู่พื้นที่ convergence zone ใน 1185-1220 เหรียญต่อออนซ์ (เป้าหมายของ 88.6% และ 113% ในรูปแบบของกราฟ "จุดสองยอด") ที่จะช่วยเพิ่มความเสี่ยงในการย้อนกลับ ไปสู่แนวโน้มขาลงในระยะสั้นของช่วงปัจจุบันได้
ชาร์ตรายวันของทองคำ

